ตัวผู้เล่นของทั้ง 2 ฝั่ง

     เริ่มต้นด้วยการจัดทีมก่อน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ โอเล่ กุนนาร์โซลชา ยังขาด เอดิสัน คาวานี กองหน้าอุรุกวัย ที่ยังบาดเจ็บอยู่ เลยต้องใช้ แอนโธนี่ มาร์เชียล คู่ใจยืนเป็นหัวหอกตัวเป้า , ปีกสอง , มาร์คัส แรชฟอร์ด ทางฝั่งซ้าย

ทางด้านขวา ดาเนียล เจมส์ ที่ยิงประตูในศึกยูโรป้าลีก 4 – 0 โซเซียดัด โดยจะไม่สามารถใช้งาน สก็อต แมคโทมิเนย์ และ ป็อกบา หรือ วาน เบอ เบรก ได้ เนื่องจากยังคงบาดเจ็บ และยังต้องพักและต้องใช้ เฟร็ด กับ เนมันย่า มาติช

ตัดกลับมาดูฝั่งทีมเยือน นิวคาสเซิล ของ สตีฟ บรูซ อดีตโค้ชและกัปตันทีมของ ” ปีศาจแดง ” นัดนี้ยังขาด คัลลัม วิลสัน กองหน้าตัวเก่ง ได้รับบาดเจ็บ จำเป็นต้องฝากความหวังไว้ที่ Jolinton , Miguel Almiron และ Allan Saint – Maxim

แน่นอนว่า ก่อนเกมนี้จะเริ่มขึ้น ทุกคนมองว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เหนือกว่าในทุกด้าน ทั้งชื่อชั้นผู้เล่นอันดับลีดเดอร์บอร์ด ผลงานล่าสุดเพิ่งคืนฟอร์มเก่ง ถล่มโซเซียดัดไป 4 เม็ด แถมยังได้เล่นในบ้านตัวเองอีกด้วย อย่างไรก็ตาม มันไม่น่าจะเป็นงานยาก สำหรับปีศาจแดง

รูปเกมเป็นรอง ในช่วงต้นเกม

     แต่เมื่อเกมเริ่ม จากที่คิดว่าปีศาจแดง จะเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า กลายเป็นฝ่ายโดนบุกใส่ และพยายามตามไล่บอล และปล่อยให้ นิวคาสเซิ่ล ครองเกมบุกเข้าใส่ พวกเขาจนมีเวลาเกือบ 20 นาที ในการฟื้นคืนสติและเกือบโดนยิงประตูขึ้นนำ

โชคดีที่ ดาบิด เดเคอา สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ ซึ่งหลังจากได้สติกลับมา เกมของปีศาจแดงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากช่วงแรกเริ่ม ที่จะมีการควบคุมบอลมากขึ้น ต่อบอลเพื่อให้เกมรุกดีขึ้น จนกระทั่งช่วงท้ายครึ่งแรก

ในนาทีที่ 30 เป็นฝ่ายได้ประตูขึ้นนำ ประตูนี้ต้องยกเครดิตให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ไปเต็ม ๆ เพราะเจ้าตัวโชว์เดี่ยว หลบล็อกจากริมกรอบเขตโทษ ก่อนจะโยกไปชนเสา เข้าประตูไปอย่างสวยงาม ช่วยปลดล็อกให้ แมนยูไนเต็ดนำ 1 – 0

ในเกมขึ้นนำดูเหมือนว่า จะเป็นไปที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะเป้าหมายที่พวกเขาต้องการ ล้วนเหนือกว่า แต่ในเวลาเพียง 6 นาที สาลิกาดงตามตีเสมอได้ จากจังหวะที่ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ โหม่งสกัดลูกเปิดเตะมุม

จากจังหวะเปิดบอลได้อย่างยอดเยี่ยม เพื่อกดดันบอลสูงใส่ อัลลันแซงต์ – แชร์กแมงแม็กซิม กดเต็มข้อ บอลลอยไปข้ามมือของ ดาบิด เดเคอา ที่พยายามปัดป้อง เป็นประตูทำให้นิวคาสเซิ่ลตีเสมอ 1 – 1 ก่อนจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

รูปเกมครึ่งหลัง ยังคงไม่ต่างจากครึ่งแรก

     เข้าสู่ครึ่งหลัง แทนที่จะเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจ้าบ้านที่ทำเกมบุก คิดจะขึ้นนำให้ได้อีกครั้ง แต่เป็น สาลิกาดง ที่เปิดครึ่งหลังได้ดุดันกว่าเกือบ 10 นาที และมีโอกาสแซงขึ้นนำจากลูกยิงของอัลลันแซ็ง – แม็กซิมเจ้าเก่า

แต่ยังดีที่ เดเคอา อยู่ในตำแหน่ง เขาสามารถล้ม และคว้าบอลได้ แต่เมื่อมีโอกาส และทำไม่ได้ สุดท้ายโดนลงโทษ และกลายเป็นประตูอีกครั้งทันที จากจังหวะที่ เนมานย่า มาติช พลิกเข้าเขตโทษจ่ายให้ บรูโน เฟอร์นานเดส

ซึ่งดูเหมือนล้ำหน้าไป แต่ก็ยังดีที่กลายเป็นส่งให้ แดเนียล เจมส์ มีพื้นที่ว่าง ก่อนที่จะซัดเต็มแรงหนี คาร์ล ดาร์โรลล์ เปิดประตูให้ปีศาจแดงนำ 2 – 1 อีกครั้ง ในนาทีที่ 57 หลังจากขึ้นนำอีกครั้ง คราวนี้ปีศาจแดงไม่เล่นแบบบุ่มบ่าม

หรือผ่อนเกมเหมือนขึ้นนำ 1 – 0 และยังไล่กดดัน และพยายามทำเกมรุก หวังจะได้ประตูหนีห่างเป็น 3 – 1 อย่างแน่นอน ซึ่งก็ทำได้สำเร็จเช่นกัน ในนาทีที่ 75 จากจังหวะที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด โดน โจ วิลล็อค สกัดล้มลงในกรอบเขตโทษ

กรรมการไม่ชักช้า เป่าเป็นจุดโทษทันที ชนิดที่แทบไม่ต้องมอง VAR เลย และก็คือ Bruno Fernandes มือสังหารหมายเลข 1 ของทีม ที่รับหน้าที่ และยิงไม่พลาด ช่วยให้แมนฯ ยูไนเต็ดนำห่าง 3 – 1

ส่วนที่เหลือ เห็นได้เลยว่า นักเตะของทูนอามี่ ยอมแพ้แล้ว เพราะเกมในครึ่งหลัง ยกเว้นครึ่งแรก ของครึ่งหลัง ดูเหมือนที่ริบหรี่ ที่จะสู้ ยูไนเต็ด ได้เลย ซึ่งแมนฯ ยูไนเต็ดเอง ก็เล่นเซฟและเพลสซิ่งไปมา ไม่ได้เร่งมาก 

ในช่วงท้ายเกม สิ่งที่แฟนผีหลายคนอยากเห็น คือ การเปิดตัวของ โชลา ชอร์ธีร์ กองกลางดาวรุ่งที่อายุครบ 17 ปี เมื่อต้นเดือนนี้ แม้จะอยู่ในสนามประมาณ 5 นาที เจ้าหนูคนนี้ก็ไม่ได้ฉายแสงมากนัก

แต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่เป็นมิตรว่า Solcha มีความเชื่อมั่นในตัวเด็กชายมาก กระทั่งให้โอกาสลงเล่นพรีเมียร์ลีก ตั้งแต่อายุเพียง 17 ปี ดูดีมีอนาคตสุดท้ายจบ 90 นาทีปีศาจแดงเก็บ 3 แต้มได้สำเร็จ

ติดตามข่าวกีฬาได้ที่ Ufa285s เว็บ แทงบอล อันดับ1 ของไทย